ปัจจุบัน การมีร้านค้าออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าคุณมีเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress อยู่แล้ว ก็สามารถเปลี่ยนเว็บธรรมดาให้เป็นร้านค้าออนไลน์แบบเต็มรูปแบบได้ด้วย Woocommerce ปลั๊กอินที่จะช่วยให้คุณสามารถขายสินค้าได้อย่างมืออาชีพ ซึ่งในบทความนี้ จะพาคุณไปรู้จักกับ Wocommerce พร้อมวิธีการใช้งานพื้นฐาน ที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ให้กลายเป็นร้านขายออนไลน์ที่พร้อมขายได้ทันที
ทำความรู้จัก Woocommerce คืออะไร เหมาะกับใคร
Woocommerce คือปลั๊กอินใน WordPress ที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ให้กลายเป็นเว็บไซต์ E-commerce อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ธุรกิจสามารถขายสินค้าได้อย่างง่ายดาย ใช้งานง่าย และมีความยืดหยุ่นสูง ปลั๊กอินนี้จะเปิดให้ติดตั้งได้ฟรี แต่ถ้าต้องการใช้ปลั๊กอินเสริม หรือส่วนเสริมของ Woocommerce บางส่วนก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่ง Woocommerce รองรับการขายสินค้าที่เป็นแบบดิจิทัลและสินค้าที่เป็นชิ้นจับต้องได้ ปลั๊กอิน Woocommerce เหมาะกับ
- เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก – กลาง ที่ต้องการขายสินค้าออนไลน์โดบไม่ต้องใช้แพลตฟอร์สำเร็จรูปอย่าง Shopee หรือ Lazada
- นักพัฒนาเว็บไซต์ ที่ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์ให้ลูกค้า และสามารถปรับแต่งตามความต้องการได้
- นักการตลาด และบล็อกเกอร์ ที่ต้องการเพิ่มฟังก์ชันการขายสินค้าบนเว็บไซต์
- ธุรกิจที่ต้องการระบบ E-commerce ที่ปรับแต่งเพิ่มได้ และเป็นเจ้าของข้อมูลเองทั้งหมด
ในปัจจุบัน Woocommerce เป็นปลั๊กอิน E-commerce ที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับ WordPress โดยมีการติดตั้งใช้งานกกว่า 5 ล้านครั้งทั่วโลก ซึ่งจากข้อมูลในปี 2022 (จากเว็บไซต์ teeneeweb) พบว่า กว่า 20% ของเว็บไซต์ที่ใช้ WordPress นิยมเลือกใช้ Woocommerce ในการสร้างร้านค้าออนไลน์ มาดูกันต่อว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ Woocommerce เป็นที่นิยมขนาดนี้
7 เหตุผลที่ควรเลือกใช้ WooCommerce

เนื่องจาก Woocommerce เป็นปลั๊กอิน E-commerce ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับ WordPress ดังนั้น เหตุผลที่ควรเลือกใช้ Wocommerce มีดังนี้
ติดตั้งง่าย และใช้งานสะดวก
Woocommerce ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ใคร ๆ ก็สามารถใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์ หรือพ่อค้าแม่ค้า ที่มาใช้ Woocommerce เพื่อขายสินค้าออนไลน์ ก็เข้าใช้งานได้ทันที สามารถติดตั้ง และตั้งค่าร้านค้าได้อย่างรวดเร็ว
ปรับแต่งเพิ่มเติมได้อย่างอิสระ
สามารถเลือกใช้ธีม หรือปลั๊กอินเสริม เพื่อปรับแต่งร้านค้าออนไลน์เพิ่มเติมให้มีดีไซน์ และฟังก์ชันตามที่ต้องการ
รองรับการชำระเงินได้หลายช่องทาง
Woocommerce รองรับระบบการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น โอนเงินผ่านธนาคาร, บัตรเครดิต/เดบิต, PayPal, Stripe, TrueMoney Wallet, QR Code เป็นต้น แต่ก็สามารถติดตั้งระบบชำระเงินอื่น ๆ ได้ หากมีปลั๊กอินที่รองรับการชำระเงินอื่นเพิ่มเติม
SEO-Friendly
Woocommerce ทำงานร่วมกับ WordPress ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับการทำ SEO ได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณติดอันดับบน Google ได้ง่ายขึ้น
รองรับสินค้าทุกประเภท
ระบบ Woocommerce รองรับสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่สินค้าทั่วไป ทั้งเสื้อผ้า อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าดิจิทัล ระบบการจอง และระบบสมัครสมาชิก
ปลอดภัย และมีการอัปเดตอยู่ตลอด
Woocommerce มีการอัปเดตเวอร์ชันใหม่อยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงความปลอดภัย และประสิทธิภาพของระบบ
Woocommerce เพื่อ E-commerce
Woocommerce มีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อระบบ E-commerce โดยเฉพาะ ทั้งระบบตะกร้าสินค้า ระบบสต็อกสินค้า ระบบคิดค่าขนส่ง การจัดการออกเดอร์ ติดตามสถานะการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ระบบ E-commerce ควรมี
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ Woocommerce เป็นปลั๊กอินที่ถูกเลือกมาสร้างเว็บไซต์ E-commerce เป็นอันดับแรก ๆ เรามาดูกันต่อดีกว่าว่าข้อดี และข้อเสียของ Woocommerce มีอะไรบ้าง
เช็กลิสต์ ข้อดี ข้อเสียของ WooCommerce

เมื่อปลั๊กอิน Woocommerce ได้รับความนิยม ก็ต้องมีทั้งข้อดี และข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจใช้งาน โดยสรุปออกมาให้เห็นภาพชัดขึ้นได้ดังนี้
ข้อดีของ Woocommerce
- สามารถดาวน์โหลด และติดตั้งได้ฟรี
- เป็น Software Open Source สามารถปรับแต่งโค้ดได้อย่างอิสระ
- ใช้งานง่าย ติดตั้งได้รวดเร็ว
- รองรับการขายสินค้าทุกประเภท
- มีระบบสมาชิกที่ติดมากับปลั๊กอิน
- ปรับแต่งปลั๊กอิน และธีมให้เหมาะกับธุรกิจ
- รองรับการชำระเงินหลายช่องทาง และรองรับหลายสกุลเงิน
- มีระบบแจ้งเตือนเมื่อสินค้าหมดสต็อก
- ติดตามออเดอร์และการจัดส่งได้อย่างรวดเร็ว
- รองรับการทำ SEO ได้ดี
- รองรับหลายภาษา ใช้ปลั๊กอินเสริม เช่น WPML เป็นต้น
- มีกลุ่มผู้ใช้ Woocommerce ขนาดใหญ่ ที่สามารถสอบถาม แลกเปลี่ยนความรู้กันได้
ข้อเสียของ Woocommerce
- ใช้ได้กับ WordPress เท่านั้น
- ต้องดูแล อัปเดตระบบด้วยตัวเอง
- มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากต้องการใช้ปลั๊กอินเสริม
- กรณีมีสินค้าจำนวนมาก หรือใช้ปลั๊กอินเสริมหลายตัว อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า
- หากต้องการฟังก์ชันที่ซับซ้อน ต้องเสียเงินจ้างนักพัฒนาเว็บไซต์มาปรับแต่ง
หากคุณต้องการร้านค้าออนไลน์ มีระบบ E-commerce ที่ยืดหยุ่น ปรับแต่งได้ และมีอิสระในการควบคุมข้อมูล WooCommerce ยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่ดีนั่นเอง
Woocommerce มีค่าใช้จ่ายไหม
ในช่วงเริ่มต้น Woocommerce เป็นปลั๊กอินฟรี ที่สามารถดาวน์โหลด และติดตั้งได้เลยแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งก็จะมีฟีเจอร์พื้นฐานของระบบ E-commerce มาให้แล้ว เช่น ระบบตะกร้าสินค้า, ระบบชำระเงิน, ระบบการจัดการคำสั่งซื้อ เป็นต้น แต่ถ้าเกิดว่าเราต้องการใช้ฟีเจอร์ที่นอกเหนือจากนี้ อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เนื่องจากปลั๊กอินที่เป็นส่วนเสริมถือเป็นฟีเจอร์พิเศษที่ไม่มีในระบบพื้นฐานนั่นเอง
นอกจากนี้ Woocommerce รองรับการชำระเงินการโอนเงินผ่านธนาคารฟรี แต่ถ้าใช้ PayPal หรือ Stripe อาจะมีค่าธรรมเนียม 2.9% – 3.5% ต่อรายการ และระบบชำระเงินในไทย (เช่น Omise, 2c2p) อาจมีค่าธรรมเนียมการใช้บริการเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน
5 วิธีการติดตั้ง WooCommerce ด้วยตัวเอง

การติดตั้งปลั๊กอิน Woocommerce สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ดังนี้
ติดตั้งปลั๊กอิน Woocommerce
เริ่มต้นโดยเข้าสู่ระบบหลังบ้านของ WordPress จากนั้นเลือกเมนู Plugins ที่แถบเมนูทางด้านซ้ายมือ กดคลิก Add New เพื่อเพิ่มปลั๊กอินใหม่ ซึ่งในช่องค้นหาให้พิมพ์คำว่า WooCommerce เมื่อเจอแล้วให้คลิก Install Now เพื่อติดตั้ง และกด Activate เพื่อเปิดใช้งานปลั๊กอิน WooCommerce บนเว็บไซต์
ตั้งค่าร้านค้าของคุณ
หลังจากที่เปิดใช้งานปลั๊กอินเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการตั้งค่าร้านค่าต่อ โดยการระบุที่ตั้งของร้านค้า ประเทศ ที่อยู่ เมือง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์ จากนั้นให้เลือกสกุลบเงินที่จะรับชำระเงินจากลูกค้า และระบุประเภทของสินค้าที่จำหน่ายบนเว็บไซต์ ซึ่งจะมี 3 ตัวเลือก ดังนี้
- I plan to sell both physical and digital products (วางแผนขายทั้งผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ และดิจิทัล)
- I plan to sell physical products (วางแผนขายผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้)
- I plan to sell digital products (วางแผนขายผลิตภัณฑ์ดิจิทัล)
หลังจากกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ให้ไปต่อขั้นตอนต่อไปได้เลย
ตั้งค่าระบบชำระเงิน
ขั้นตอนการเลือกระบบชำระเงิน ถ้าเลือกเป็นระบบชำระเงินออนไลน์ (Payment Gateway) จะมีให้เลือก 2 ตัวเลือกคือ Stripe และ PayPal แต่ถ้าต้องการให้ลูกค้า โอนเงินผ่านธนาคารหรือเก็บเงินปลายทาง สามารถเลือกเป็นระบบการชำระเงินออฟไลน์ (Offiline Payments) ได้เช่นกัน
ตั้งค่าการจัดส่ง
เลือกวิธีการจัดส่งสินค้า และราคาการจัดส่งสินค้า สามารถตั้งค่าได้ว่าจะเป็นราคาส่งแบบพื้นฐานของร้านเลย หรือจะมีการคำนวณตามน้ำหนักก็สามารถทำได้
เปิดใช้งานร้านค้าออนไลน์
หลังจากที่ตั้งค่าข้อมูลต่าง ๆ ครบทุกขั้นตอนแล้ว ก็สามารถเปิดใช้งานร้านค้า และลงสินค้าที่หลังบ้านได้เลย
เพียงไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถติดตั้ง Woocommerce บนเว็บไซต์ได้เรียบร้อย ง่าย ๆ แถมไม่ยุ่งยาก และยังสามารถจัดการสต็อก พร้อมติดตามสถานะสินค้าได้ที่ปลั๊กอินนี้ปลั๊กอินเดียว
แนะนำฟังก์ชันพื้นฐานบน WooCommerce
ฟังก์ชันพื้นฐานของ Woocommerce ที่ติดตั้งแล้ว สามารถใช้งานได้ทันที มีดังนี้
ระบบจัดการสินค้า (Product Management)
Woocommerce สามารเพิ่ม แก้ไข และลบสินค้าได้ในระบบหลังบ้าน สามารถตั้งค่าประเภทสินค้า จัดการหมวดหมู่ต่าง ๆ และแท็กของสินค้าบนเว็บไซต์ ทั้งนี้ยังปรับราคาสินค้าปกติ และสินค้าลดราคา รวมถึงจัดการสต็อกสินค้าได้อย่างสะดวก
ระบบชำระเงิน (Payment Gateways)
Woocommerce มีระบบชำระเงินที่รองรับการชำระเงินได้หลายรูปแบบ เช่น โอนเงินผ่านธนาคาร, เก็บเงินปลายทาง, บัตรเครดิต, บัครเดบิต, QR Code, Mobile Banking เป็นต้น
ระบบจัดส่งสินค้า (Shipping)
สามารถตั้งค่าการขนส่งได้ทั้งแบบฟรี หรือคิดตามระยะทาง น้ำหนัก รองรับการใช้ปลั๊กอินเสริมเช่น DHL, Kerry Express และคำนวณค่าจัดส่งอัตโนมัติตามโซนที่กำหนด
จัดการคำสั่งซื้อ (Order Management)
สามารถติดตามสถานะการจัดส่งสินค้า แจ้งเลขพัสดุให้กับลูกค้า และมีอีเมลแจ้งเตือนอัปเดตสถานะให้ทั้งผู้ขายและลูกค้า
คูปอง และส่วนลด (Coupons & Discounts)
สร้างโค้ดส่วนลดแบบเปอร์เซ็นต์หรือจำนวนเงิน และกำหนดเงื่อนไขในการใช้คูปอง
รายงาน และสถิติ (Report & Analytics)
ดูรายงานยอดขาย รายได้ และสินค้าขายดี พร้อมทั้งสามารถเชื่อมต่อกับ Google Analytics หรือ Facebook Pixel ได้ด้วย
ตั้งค่าขั้นสูง (Advanced Settings)
ปรับแต่งร้านค้าผ่านธีมและปลั๊กอินอื่น ๆ ได้เพิ่มเติม รองรับการใช้ REST API สำหรับนักพัฒนา
ปลั๊กอิน Woocommerce เป็นระบบที่สามารถขยายเพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย หากต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น ระบบสมาชิก, ระบบจองคิว หรือระบบ Dropshipping ก็สามารถติดตั้งปลั๊กอินเสริมเพื่อใช้งานได้
สรุป
หากใครที่กำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดา ให้กลายเป็นเว็บไซต์ E-commerce แนะนำให้ใช้ปลั๊กอิน Woocommerce เพราะเป็นปลั๊กอินที่ช่วยจัดการร้านค้าของคุณได้ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงบริการหลังการขาย เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจและต้องการเติบโตในโลกออนไลน์ เรียกได้ว่าตอบโจทย์ความต้องการของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อย่างแท้จริง