ในปัจจุบัน โลกออนไลน์นั้นมีการพัฒนาและเปลี่ยนไปเยอะมาก เว็บไซต์ต่าง ๆ ก็มีจำนวนมากขึ้น การที่จะดันให้เว็บไซต์ของตัวเองนั้นขึ้นไปติดอันดับแรก ๆ หรือติดหน้าแรกนั้น เป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาก ๆ สำหรับพวกเราชาว SEO เพราะการที่จะทำให้เว็บไซต์ไปติดหน้าแรกได้ ไม่เพียงแต่จะต้องปั้นเนื้อหาจำนวนเยอะ ๆ หรือเขียนเนื้อหาให้เยอะที่สุดเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาหรือบทความแต่ละชิ้นที่จะถูกเผยแพร่ไปด้วย
ก่อนหน้านี้ Google ได้มีการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อ E-A-T Factor เพื่อช่วยวัดความน่าเชื่อถือและคุณภาพของเนื้อหา ประกอบด้วย
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ)
- Authority (ความเป็นเจ้าของ)
- Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)
โดยทั้งหมดนี้ เป็นเกณฑ์ที่จะวัดทั้งคุณภาพของเนื้อหาทั้งหมด เพื่อคัดเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจริง ๆ ไปแสดงบนหน้าการค้นหา แต่ในปัจจุบัน Google ได้มีการปรับเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ขึ้นมาใหม่ โดยทำการเพิ่ม E (Experience) เข้ามาเพื่อวัดคุณภาพอีกหนึ่งตัว ก็จะกลายเป็น E-E-A-T นั้นเอง
เกณฑ์ E-E-A-T คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง
E-E-A-T คือ เกณฑ์ในการประเมินเว็บไซต์ของ Google ที่จะช่วยประเมินและคัดกรองเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจริง ๆ ขึ้นไปบนหน้าการค้นหาของ Google โดย E-E-A-T จะประกอบไปด้วย
Expertise (ความเชี่ยวชาญ)
Expertise เนื้อหาคอนเทนต์ที่แสดงบนหน้าเว็บไซต์ จะต้องเขียนให้สื่อถึงความเชี่ยวชาญที่ต้องการนำเสนอให้ผู้อ่านได้รับรู้ โดยจะต้องเขียนออกมาให้ถูกต้องมากที่สุด เรียกได้ว่า เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านรับรู้ว่าเราเชี่ยวชาญทางด้านนั้นจริง ๆ และแสดงถึงความน่าเชื่อถือของตัวเว็บไซต์ ว่าเว็บไซต์นี้ เป็นผู้รู้จริง ดังนั้น ตัวคอนเทนต์บนเว็บไซต์จะต้องคิดมาก่อนว่าผู้อ่านต้องการและอยากรู้เรื่องอะไร และเจาะไปในเรื่องที่เขาอยากรู้จริง ๆ เขียนให้เข้าใจง่าย ใช้ภาพช่วยสื่อ ใช้ Keyword ที่ช่วยให้ค้นเจอได้แบบง่าย ๆ
Experience (ประสบการณ์)
Experience เกณฑ์คุณภาพตัวใหม่ ที่ Google เพิ่มเข้ามา ซึ่งจะเป็นการวัดประสบการณ์จริงของผู้เขียน ทั้งประสบการณ์จากการพบเจอในเรื่องที่เขียนมา ประสบการณ์ในการทำจริงจากเรื่องที่เขียน ประสบการณ์ส่วนตัวต่าง ๆ ที่จะช่วยยืนยันกับผู้อ่านได้ว่า เราเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ทางด้านนั้นจริง ๆ อาจจะมีการเสนอเรื่องราวที่ค้นหามาแล้วอย่างดี หรือแนบประวัติของผู้เขียนเพื่อเพิ่มข้อมูลในส่วนนี้ ยกตัวอย่างเช่น การรีวิวสินค้าจากผู้ใช้งานจริง ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ในการใช้สินค้าบนเว็บไซต์ หรือ การีวิวที่พัก ก็เป็นประสบการณ์จากการเข้าไปพักจริง เป็นต้น ซึ่ง Google จะจับข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ในการประเมินด้วย
Authoritativeness (ความเป็นเจ้าของ)
Authoritativeness คือการที่ผู้เขียน สามารถยืนยันความเป็นเจ้าของของคอนเทนต์บนเว็บไซต์นั้นได้จริง รวมถึงการนำเสนอเรื่องราวให้ผู้อ่านเข้าใจได้ถูกต้อง เนื้อหาที่เขียนก็ควรเป็นเนื้อหาที่ได้เขียนและเรียบเรียงขึ้นมาเอง ไม่ได้เป็นการคัดลอก หรือนำเนื้อหาของเว็บไซต์อื่นมานำเสนอ
Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)
Trustworthiness ความน่าเชื่อถือที่สามารถสร้างบนเว็บไซต์ได้แบบง่าย ๆ นั่นคือ การระบุชื่อของ Writer ลงไป เพื่อให้ผู้อ่านเข้ามาเห็นแล้วรู้ว่าใครเป็นคนเขียน หรือแม้กระทั่งช่องทางการติดต่อ รวมถึงที่อยู่ของบริษัท อีกวิธีหนึ่งคือการติดตั้ง Cookie Policy เพื่อให้ผู้เข้ามาอ่านมั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่จะเกิดขึ้นบนเว็บไซต์จะปลอดภัยอย่างแน่นอน
ซึ่งเกณฑ์การประเมินเหล่านี้ จะใช้อัลกอริทึมของ Google ในการตรวจจับเพื่อจัดอันดับให้กับเว็บไซต์ ยิ่งถ้าทำได้ตรงตามเกณฑ์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มอันดับให้เราได้มากขึ้นเท่านั้น
ความสำคัญของการทำ E-E-A-T ทำไมต้องหลักการนี้

การทำ E-E-A-T มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการทำเว็บไซต์ SEO ถ้าได้ลองอ่านมาถึงตรงนี้ จะรู้ว่า E-E-A-T นั้นช่วยในเรื่องของความน่าเชื่อและการวัดคุณภาพของเว็บไซต์อย่างมาก ซึ่งทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
ช่วยให้คะแนนของเนื้อหาดีมากขึ้น
เนื่องจากกลยุทธ์ E-E-A-T นั้น ช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับตัวเนื้อหา เพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้ Google ได้รับรู้แล้วว่าเว็บไซต์นี้ มีทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่ดี อัลกอริทึมของ Google ก็จะประเมินและให้คะแนนเนื้อหาของเว็บไซต์ดีมากขึ้น อันดับก็จะสามารถขยับเพิ่มมากขึ้นได้เช่นกัน
สร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์
อย่างที่บอกไปว่าตัว E-E-A-T เป็นเกณฑ์ที่จะช่วยส่งเสริมความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ได้ เมื่อทำตามกลยุทธ์นี้แล้ว เว็บไซต์ก็จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มีภาพลักษณ์ที่ดี และดึงดูดให้ผู้อ่านเข้ามาใช้บริการเว็บไซต์ได้มากขึ้นด้วย
เข้ากับอัลกอริทึม Google ได้มากกว่าที่เคย
Google จะเข้ามายังเว็บไซต์ได้น้อยหรือมาก ขึ้นอยู่กับว่าเว็บไซต์ของตัวเองนั้นเข้ากับอัลกอริทึมของ Google ได้มากแค่ไหน ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือสูง อัลกอริทึมของ Google ก็จะเข้ามาตรวจจับเว็บไซต์ของคุณก่อน
อยู่ในหน้าแรกของ Google ได้ยาว ๆ
ถ้าเกิดเว็บไซต์ของคุณเองมีคะแนน E-E-A-T สูง Google จะมองแล้วว่า เว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น หรือเรื่องที่เขียนจริง ๆ Google ก็จะเริ่มดันให้คุณไปติดในหน้าแรก และทำให้คุณอยู่ในหน้าแรกได้เป็นเวลายาวนาน
โดยส่วนใหญ่ Google จะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ มาก่อนเป็นอันดับแรก เพราะ Google ต้องการคัดคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ เพื่อเสิร์ฟให้กับผู้ที่ต้องค้นหาข้อมูลในด้านนั้น ๆ ยิ่งถ้าเราสร้างคอนเทนต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเชี่ยวชาญมากเท่าไหร่ Google ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ของคุณมากเท่านั้นเอง
เนื้อหาบนเว็บไซต์แบบไหนที่ไม่เข้าเกณฑ์ E-E-A-T

แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เนื้อหาบนเว็บไซต์ที่เราเขียนและสร้างไว้ เข้าเกณฑ์ E-E-A-T หรือเปล่า ? ต้องปรับปรุงให้เป็นรูปแบบไหน ถึงจะเตะตาต้องใจอัลกอริทึมของ Google ให้ได้มากที่สุด
- เนื้อหาบนเว็บไซต์ เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้แสดงออกถึงความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง มีการเขียนลอย ๆ เขียนเล่าไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ลงลึกถึงแกนสำคัญของเนื้อหา
- เนื้อหาบนเว็บไซต์ที่มีการคัดลอกจากเว็บไซต์อื่น
- ไม่มีแหล่งอ้างอิงข้อมูลของบทความ เขียนเนื้อหาแบบไม่มีที่มาที่ไป
- เนื้อหาไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของเรื่องที่ต้องการจะเล่า
- กล่าวถึงหรือกล่าวอ้างผู้อื่นในเนื้อหาในเชิงลบ
- ข้อมูลที่อยู่ในเนื้อหา เป็นข้อมูลเท็จ ข้อมูลผิด หรือบิดเบียนข้อมูลที่แท้จริง
- ไม่มีการเปิดเผยตัวตนของผู้เขียน หรือ หลักฐานยืนยันตัวตนของผู้เขียน
- มีการเขียนเนื้อหาเพื่อโฆษณาเชิญชวนที่เกินความเป็นจริง
ลองเช็กตามลิสต์ข้อต่าง ๆ ตามนี้ได้เลยว่าเว็บไซต์ของคุณ มีเนื้อหาที่เป็นตามนี้ไหม หากว่ามี แนะนำว่าให้ลองปรับปรุงให้เข้าเกณฑ์ของ E-E-A-T จะส่งผลดีต่อคะแนนบนเว็บไซต์คุณได้มากขึ้น
วิธีสร้างเว็บให้เข้าเกณฑ์ E-E-A-T
ถ้าเกิดเว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาที่มีตามเช็กลิสต์ด้านบน และต้องการจะเริ่มปรับปรุง มาดูวิธีการสร้างเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์ E-E-A-T กัน ดังนี้
อัปเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบันเสมอ
ผู้อ่านส่วนใหญ่อยากได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันทันด่วนอยู่เสมอ Google ก็เช่นกัน ต้องการเนื้อหาที่มีการอัปเดตให้เป็นปัจจุบันและข้อมูลที่อัปเดตจะต้องถูกต้องที่สุด
เนื้อหาควรเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นโดยเฉพาะ
เนื้อหาที่มาจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์คุณได้อย่างมาก เพราะเป็นเนื้อหาที่เขียนจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีประสบการณ์ตรง มาบอกเล่าให้ผู้อ่านได้รับรู้ข้อมูลเหล่านั้น
มีแหล่งยืนยันตัวตน หรือประวัติของผู้เขียน
การมีข้อมูล ประวัติ หรือแหล่งยืนยันตัวตนของผู้ที่เขียนเนื้อหาบนเว็บไซต์ จะยิ่งช่วยการันตีความเชี่ยวชาญในด้านที่เขียนได้อีกหนึ่งเสต็ป เช่น ชื่อผู้เขียน, การศึกษา, ใบรับรองที่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เขียน เป็นต้น
มีรีวิวที่น่าเชื่อถือ
เนื้อหาบนเว็บไซต์ ถ้าเกิดมีประเภทของการรีวิวจากผู้ที่มีประสบการณ์หรือผู้ใช้งานจริง จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มคะแนน E-E-A-T ให้กับเว็บไซต์ได้อย่างมาก
ไม่คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่น
นี่คือข้อห้ามของเนื้อหาบนเว็บไซต์เลย อย่านำเนื้อหาหรือคัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่นมาไว้บนเว็บไซต์ตัวเอง เพราะอัลกอริทึมของ Google เก่งมาก ๆ สแกนแค่ไม่กี่วินาที ก็รู้เลยว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณเหมือนกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ใคร
มีการวางแผนเนื้อหาบนเว็บไซต์
การวางแผนการสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและมีความสอดคล้อง เชื่อมโยงกัน ระหว่างเนื้อหาแต่ละตัว ซึ่งนอกจากจะดีต่อ SEO แล้ว ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อและคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดีด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าเกณฑ์ E-E-A-T มีความสำคัญอย่างมากกับการทำ SEO หากเราปรับปรุงเว็บไซต์ พัฒนาคอนเทนต์บนเว็บอย่างสม่ำเสมอ Google ก็จะเล็งเห็นและผลักดันให้เนื้อหาของเราขึ้นไปอยู่ลำดับสูง ๆ นั่นเอง
ยกตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีการนำเกณฑ์ E-E-A-T เข้ามาใช้
หลาย ๆ เว็บไซต์ในประเทศไทยเริ่มมีการปรับปรุงและผลิตเนื้อหาออกมาให้ตอบโจทย์เกณฑ์ E-E-A-T มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คลินิกรักษาฟัน BFC Dental,Verite เว็บไซต์ E-Commerce และ Aromathailand ธุรกิจกาแฟ
BFC Dental
BFC Dental เป็นเว็บไซต์คลินิกรักษาฟัน ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพฟัน นำกลยุทธ์ E-E-A-T มาใช้ดังนี้

Ref Photo : BFC Dental
- มีเคสรีวิว ที่สามารถนำเสนอประสบการณ์การใช้บริการของคนไข้ที่มีต่อคลินิกนี้
- สร้างความเชี่ยวชาญ ด้วยเนื้อหาคอนเทนต์ที่จัดทำขึ้นโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาฟันจริง ๆ และมีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง
- มีการให้ข้อมูลการเข้ารับบริการ และวิธีการรักษาที่ถูกต้อง สร้างความเชื่อถือ
- เนื้อหามีการอ้างอิง ใส่ชื่อผู้เขียนและมีที่อยู่ของคลินิกอย่างชัดเจน
- มีการนำเสนอข้อมูลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งในวงการแพทย์
ซึ่งการที่คลินิกหมอฟันนำเกณฑ์ E-E-A-T เข้ามาช่วยปรับตัวเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์สามารถขึ้นอันดับมายังหน้าแรกของ Google และมีคนรู้จักคลินิกและเข้าไปใช้บริการมากขึ้น
Verite
Verite เป็นเว็บไซต์ E-commerce ที่มีการขายสินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่าง ๆ ก็มีการนำเกณฑ์ E-E-A-T มาปรับใช้ ดังนี้

Ref Photo : Verite
- มีการใส่ข้อมูลเนื้อหาของสินค้าแต่ละตัว เพื่อให้ลูกค้าสามารถอ่านข้อมูลเฉพาะก่อนจะเลือกซื้อ
- มีรีวิวจากผู้ใช้งานจริงบนเว็บไซต์ ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บได้เป็นอย่างดี
- มีระบบชำระเงินที่ปลอดภัย
- มีเนื้อหาบทความที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่างแท้จริง
ผลลัพธ์คือ ลูกค้าสามารถไว้วางใจ เชื่อใจที่จะใช้สินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์ได้ และอาจมีการบอกต่อหรือกลับมาซื้อซ้ำได้ในอนาคต
Aroma Thailand

Ref Photo : Aroma Thailand
Aroma Thailand ผู้จัดจำหน่ายและนำเข้าเครื่องทำกาแฟ ได้มีการนำเกณฑ์ E-E-A-T มาปรับใช้บนเว็บไซต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำ SEO มากขึ้น
- มีการอัปเดตข่าวสาร โปรโมชัน อย่างสม่ำเสมอ
- มีการลงบทความเกี่ยวกับกาแฟ เครื่องชงกาแฟ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในร้านกาแฟ ทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า ก่อนตัดสินใจซื้อ สะท้อนความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟ
- มีการให้รายละเอียดของสินค้าที่ครบถ้วน ชัดเจน อีกทั้งยังแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าให้ User ค้นหาได้ง่าย สะดวก
ผลลัพธ์คือ บทความติดหน้าแรกของ Google มีทราฟิกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลูกค้าเห็นเว็บไซต์ของธุรกิจ และช่วยให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจในตัวแบรนด์มากยิ่งขึ้น
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า หากมีการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เป็นเนื้อหาที่ถูกต้อง ครบถ้วน แถมมาจากผู้เชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ โดยตรง ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราขึ้นอับดับ 1 หรือหน้าแรกของ Google ได้ไม่ยากเลย
สรุป
จากทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า เกณฑ์ E-E-A-T เป็นตัวช่วยส่งเสริมให้เว็บไซต์ของเรามีคุณภาพที่ดี และได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้มากขึ้น และส่งผลดีต่อ SEO ในอนาคต Google อาจจะมีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเรายังหมั่นปรับปรุง และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของตัวเองอยู่เสมอ ก็จะยังสามารถครองหน้าแรก อันดับต้น ๆ ไว้ได้ตลอดไป