การพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเทคโนโลยีในแวดวงอุตสาหกรรมการผลิต หรือธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทอย่างมาก คือการใช้ Big Data ผสานกับการวิเคราะห์ของ AI ในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่าสองสิ่งนี้คืออะไร ? สำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจ ?
Big Data คืออะไร ?
Big Data คือระบบที่มีการรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก หรือข้อมูลปริมาณมหาศาลที่สามารถเก็บ และใช้เพื่อนำมาวิเคราะห์ ประมวลผล และใช้ประโยชน์ในแง่มุมต่าง ๆ ได้ Big Data จึงมีความผันผวน และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แตกต่างจากการใช้ข้อมูลธรรมดา
โดยส่วนใหญ่แล้ว Big Data มักจะถูกใช้ในเชิงธุรกิจ เพื่อเป็นข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในองค์กร หรือบริษัท เช่น ข้อมูลบริษัท ข้อมูลสำคัญของลูกค้า วิดีโอ ไฟล์รูปภาพ หรือไฟล์เอกสารต่าง ๆ เป็นต้น แต่เนื่องจากปัจจุบัน Big Data มีการอัปเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้การจัดการข้อมูลกลายเป็นเรื่องยาก ธุรกิจต่าง ๆ จึงเริ่มมีการนำ AI มาช่วยในการจัดการกับ Big Data มากขึ้น
AI คืออะไร ?
AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นเทคโนโลยีด้านระบบการประมวลผลที่มีความสามารถในการจัดการข้อมูล ทั้งเรียนรู้ชุดคำสั่ง และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น รวมถึงความเฉลียวฉลาดมากกว่าที่จะมาทดแทนมนุษย์ ทำให้ AI สามารถนำมาต่อยอด และพัฒนาธุรกิจ ทั้งในด้านการบริหารจัดการ และการตลาดได้ รวมไปถึงการจัดการเรื่อง Big Data ด้วยเช่นกัน
Big Data และ AI สองสิ่งนี้ทำงานร่วมกันอย่างไร ?
ในปัจจุบัน Big Data และ AI เป็นเรื่องที่แทบจะกลายเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้ว ซึ่งหากวิเคราะห์จาก Big Data ที่มักจะถูกพูดถึงในแง่ของการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลในภาพรวม ส่วน AI จะเป็นการเปิดให้เครื่องคอมพิวเตอร์มาเรียนรู้ข้อมูล และนำมาใช้งานโดยอัตโนมัตินั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งสองสิ่งนั้นมีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกัน
นอกจากนั้นการทำงานร่วมกันของ Big Data และ AI จะช่วยทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวดเร็วมากขึ้น รวมไปถึงการทำนายแนวโน้ม การปรับปรุงกระบวนการธุรกิจแบบอัตโนมัติ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการของลูกค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งสะท้อนว่าทั้ง สองเทคโนโลยีได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจ และการพัฒนาธุรกิจในปัจจุบัน และอนาคต
เปิดข้อดีของ Big Data และ AI นวัตกรรมที่ช่วยให้นักการตลาดทำงานง่ายขึ้น
การนำ Big Data และ AI มาปรับใช้กับธุรกิจเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมาก เพราะหากขาดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมหรือตกหล่นในบางกระบวนการไป อาจทำให้การทำ AI นั้นไร้ประสิทธิภาพและสูญทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์ เราจึงต้องนำมาปรับใช้อย่างถูกต้อง
ช่วยให้การทำการตลาดเฉพาะบุคคลแม่นยำมากขึ้น
การทำการตลาดเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) เป็นการตลาดที่ออกแบบเฉพาะบุคคล โดยเก็บข้อมูลจากประสบการณ์ของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งด้วยคุณสมบัติของ AI ในการประมวลผล และคาดการณ์ข้อมูล จะทำให้การทำการตลาดเฉพาะบุคคลนั้นแม่นยำมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าสนใจที่นำ AI มาใช้ในการทำการตลาดเฉพาะบุคคล คือคอนเทนต์แบบเรียลไทม์ เพราะ AI สามารถเรียนรู้ถึงความชอบของลูกค้า และดึงชิ้นงานจากคลังข้อมูลที่มีอยู่เพื่อสร้างเป็นอีเมลเฉพาะบุคคล และนำเสนอลูกค้าด้วยรูปภาพ วิดีโอ หรือบทความที่เกี่ยวข้องได้
ทำธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
การนำ Big Data และ AI เข้ามาช่วยในองค์กร จะทำให้ขั้นตอนในการทำงานสั้นลง ตั้งแต่จากการออกแบบสินค้า จนถึงการนำสินค้าออกสู่ตลาด ที่ทำให้สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุคดิจิทัลที่ต้องการความรวดเร็ว และตอบโจทย์ผู้บริโภค
นอกจากนั้นสองสิ่งนี้ยังทำให้การตัดสินใจในธุรกิจรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยจะทำให้ทีมการตลาดสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วมากกว่าที่ใช้คนทำ และสามารถใช้ในการสรุปข้อมูลได้อย่างรวดเร็วตามแคมเปญ และบริบทของลูกค้า ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์ที่สามารถใช้ AI ในการช่วยรันแคมเปญได้ และยังสามารถใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อตัดสินใจในการเลือกสื่อที่ให้ผลดีที่สุดได้
ช่วยจัดการปัญหาคลังสินค้า
Big Data และ AI จะช่วยจัดการปัญหาคลังสินค้าของธุรกิจได้ เพราะในบางธุรกิจที่มีสินค้าในคลังจำนวนมาก อาจจะไม่รู้ว่าสินค้าไหนมีประสิทธิภาพ หรือสินค้าไหนที่ไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้น AI จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการปัญหาคลังสินค้า ด้วยระบบการวิเคราะห์ข้อมูลคลังสินค้า
ยกตัวอย่างเช่น H&M ที่มีการใช้ระบบ AI ในการทำ Localization ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละสาขา เพื่อจัดวางสินค้าให้ตรงตามความต้องลูกค้า เช่น ร้าน H&M สาขา Stockholm ที่พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และสินค้าที่ราคาแพงมักขายได้มากกว่าสินค้าราคาถูก ซึ่งการพบ Insignt ของลูกค้าจะช่วยลดปัญหาสินค้าไม่ตอบโจทย์ลูกค้าในที่สุด
ลดความผิดพลาดในการทำงาน
การนำ Big Data และ AI เข้ามาใช้ จะช่วยลดความผิดพลาด และกำหนดเป็นมาตรฐานใหม่ในการทำงานได้ ซึ่งหากเรานำระบบ AI และ Machine learning มาใช้กับเทคโนโลยี RPA (Robotic Process Automation) ที่จะทำให้เกิดการทำงานแบบซ้ำ ๆ เกิดขึ้น โดยมีการกำหนดกฏเกณฑ์ให้กับงานนั้น ๆ ทำให้การทำงานของทั้งสองระบบจะทำให้ขั้นตอนการทำงานเร็วขึ้น และช่วยลดความผิดพลาด นอกจากนั้นยังสามารถทำให้ระบบสามารถทำงานในหลากหลายหน้าที่ได้มากขึ้นอีกด้วย
ยกระดับการบริการที่ดีให้กับลูกค้า
การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจ หากสามารถมีเจ้าหน้าที่ในการขายที่สามารถรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการอะไรก็จะทำให้ธุรกิจได้เปรียบมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยวิแคราะห์และจัดการข้อมูลในส่วนนี้ได้ ด้วยการนำเสนอสินค้า และบริการที่เหมาะกับแต่ละบุคคล
นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้นักการตลาดสามารถส่งข้อความเฉพาะรายบุคคลให้กับลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ และยังช่วยให้นักการตลาดระบุได้ว่าลูกค้าคนไหนที่มีความเสี่ยงว่าจะเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น และทำการส่งข้อความไปหาลูกค้ารายนั้นเพื่อช่วยสร้างความสัมพันธ์ให้ลูกค้าหันกลับมาใช้สินค้า หรือบริการของแบรนด์อีกครั้งได้นั่นเอง
บริหารบุคลากรได้ดียิ่งขึ้น
ระบบ Big Data และ AI จะสามารถช่วยองค์กรพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลได้เป็นอย่างดี และครอบคลุมในทุกด้าน ตั้งแต่การสรรหาพนักงาน ตลอจนสามารถวัดผลทัศนคติ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานแต่ละคนได้อีกด้วย
ทั้งนี้องค์กรยังสามารถนำแชทบอทเข้ามาใช้ในการพูดคุยกับผู้สมัครแบบรายบุคคลได้ เพื่อให้ AI สามารถวิเคราะห์ และทำการวัดทัศนคติ ค้นพบ และรักษาพนักงานที่มีผลการทำงานอย่างยอดเยี่ยม และจ่ายผลตอบแทนอย่างเป็นธรรมให้กับพนักงาน
ยกระดับการวัดผลทางธุรกิจ
เนื่องจาก Big Data และ AI สามารถนำเข้า และประมวลข้อมูลจำนวนมากได้แบบเรียลไทม์ ทำให้องค์กรสามารถติดตามความเป็นไปต่าง ๆ ได้แบบเรียลไทม์เช่นกัน รวมถึงสามารถแจ้งเตือนถึงประเด็นที่อาจจะเกิดขึ้น และยังสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้ในเบื้องต้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในธุรกิจการผลิตที่ AI จะเก็บข้อมูลจากเครื่องจักรทุกตัวเพื่อที่จะประเมินว่าเครื่องจักรตัวไหนมีปัญหา รวมถึงคาดการณ์ระยะเวลาที่เครื่องจักรต้องได้รับซ่อมแซมได้
นอกจากนั้นในแง่มุมของการตลาด Big Data และ AI จะนำมาใช้เป็น ที่ทำให้ทีมการตลาดช่วยให้มองเห็นสิ่งที่ทำแล้วได้ผลได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ทีมสามารถนำข้อมูลไปปรับใช้กับช่องทางอื่น ๆ และในงบประมาณที่จัดสรรให้สอดคล้องกันได้นั่นเอง
Case Study ยกตัวอย่างธุรกิจที่นำ Big Data กับ AI เข้ามาใช้จนประสบความสำเร็จ
ในปัจจุบันธุรกิจระดับโลกได้หันมาให้ความสำคัญกับ Big Data และ AI มากขึ้น เพราะสองสิ่งนี้จะช่วยค้นหา หรือวิเคราะห์ข้อมูล จากการนำข้อมูลดิบมาสู่ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจในอนาคตได้
Amazon
Amazon เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มี Big Data หรือฐานข้อมูลของลูกค้าจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นชื่อลูกค้า ที่อยู่ ข้อมูลการชำระเงิน หรือประวัติการค้นหาสินค้า เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ Amazon สามารถเก็บไว้ใช้เพื่อต่อยอดธุรกิจ หรือเพื่อโฆษณาได้
Ref Photo : Amazon
โดย Amazon ได้นำ Big Data และ AI มาช่วยในเรื่องของการตลาด เพื่อให้ Amazon สามารถรู้ได้ทันทีว่าลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเป็นใคร ช่วยให้เจ้าหน้าที่ของ Amazon สามารถบริการลูกค้าได้อย่างตอบโจทย์ และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า โดยที่ยังไม่ทันได้บอกข้อมูลใด ๆ เลยนั่นเอง
American Express
American Express อีกหนึ่งสถาบันการเงินระดับโลก ที่มีการใช้ Big Data และ AI ในการช่วยวิเคราะห์ และคาดการณ์เศรษฐกิจ ธุรกิจการเงินระดับโลก รวมไปถึงยังนำมาใช้วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อวิเคราะห์หารูปแบบพฤติกรรมการใช้เงินของสมาชิกแต่ละราย จากการบันทึกประวัติการทำธุรกรรม
Ref Photo : American Express
ซึ่งการที่บริษัทนำ Big Data และ AI เข้ามาช่วยนั้นทำให้บริษัทสามารถคาดการณ์แนวโน้มที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจไปใช้บริการกับเจ้าอื่น รวมถึงบริการที่ลูกค้ามีโอกาสที่จะสนใจ รวมถึงการประเมินความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้นั่นเอง
จะเห็นได้ว่า Big Data และ AI เปรียบเสมือนเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในแง่ของการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า การพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการสร้างโอกาสในการขายได้มากขึ้นอีกด้วย
สรุป
Big Data และ AI ถือว่ามีความสำคัญต่อการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่การทำการตลาดเท่านั้น แต่ข้อมูลปริมาณมหาศาลยังสามารถนำใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย อาจกล่าวโดยภาพรวมได้ว่าทั้งสองสิ่งนี้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจในหลากหลายด้าน ทำให้ประสิทธิภาพทางการผลิตเพิ่มขึ้น และสินค้าราคาถูกลง ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้นได้นั่นเอง