การติดตาม และวัดผลแคมเปญการตลาดถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการติดตามผลคือ UTM Parameters หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า UTM วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ UTM อย่างละเอียด พร้อมเรียนรู้วิธีการสร้าง และนำไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพกัน
ทำความเข้าใจ UTM คืออะไร
ก่อนที่จะเริ่มสร้างและใช้งาน UTM เราควรทำความเข้าใจก่อนว่า UTM คืออะไร และทำไมถึงมีความสำคัญในโลกการตลาดดิจิทัล
UTM (Urchin Tracking Module) คือ code พิเศษที่เราเพิ่มต่อท้าย URL เพื่อติดตามว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์มาจากแหล่งที่มาใด โดย UTM จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับ traffic ที่เข้ามายังเว็บไซต์ เช่น มาจากแพลตฟอร์มไหน แคมเปญอะไร หรือเนื้อหาประเภทใด ทำให้เราสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการทำการตลาดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ตัวอย่าง URL ที่มี UTM:
https://www.example.com/page?utm_source=facebook&utm_medium=social&utm_campaign=summer_sale
องค์ประกอบของ UTM มีอะไรบ้าง
การทำความเข้าใจองค์ประกอบของ UTM จะช่วยให้เราสามารถสร้างและใช้งานได้อย่างถูกต้อง มาดูกันว่า UTM ประกอบด้วยพารามิเตอร์อะไรบ้าง
UTM มีพารามิเตอร์หลัก 5 ตัว ได้แก่
utm_source: ระบุแหล่งที่มาของ traffic
utm_source: ช่วยระบุแหล่งที่มาของ traffic ทำให้เรารู้ว่า ผู้เข้าชมมาจากช่องทางไหน เช่น facebook, google, newsletter, twitter
utm_medium: ระบุประเภทของการตลาด
utm_medium: เป็นส่วนที่บ่งบอกว่าใช้วิธีการทำการตลาดแบบใด เช่น cpc, social, email, banner
utm_campaign: ชื่อแคมเปญที่กำลังทำ
utm_campaign: ใช้แยกแยะแคมเปญต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการเช่น summer_sale, new_year_promotion
utm_term: คำค้นหาที่ใช้ (optional)
utm_term: ใช้สำหรับแคมเปญ Paid Search เพื่อระบุคีย์เวิร์ดที่ถูกใช้ในการโฆษณา ช่วยให้เราติดตามผลลัพธ์ของคีย์เวิร์ดแต่ละคำได้อย่างแม่นยำ
utm_content: รายละเอียดเพิ่มเติมของเนื้อหา (optional)
utm_content: เป็นส่วนที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างโฆษณาที่คล้ายกัน เช่น banner_top, banner_sidebar
4 ประโยชน์ดี ๆ ของ UTM ในการทำการตลาดดิจิทัล
เหตุผลที่เราควรทำ UTM ในการทำการตลาดดิจิทัล ซึ่งหน้าที่ก็คือการรวมข้อมูลการเข้าถึงเฉพาะด้านที่มีเนื้อหาละเอียดมากกว่าเดิม
การวัดผล ROI (Return on Investment) ที่แม่นยำ
ถือเป็นประโยชน์สำคัญอันดับแรกของ UTM เพราะช่วยให้เราทราบว่าแต่ละช่องทางการตลาดสร้างยอดขายได้เท่าไร สามารถคำนวณต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้าได้ชัดเจน ทำให้วางแผนงบประมาณการตลาดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละแคมเปญได้อย่างชัดเจน
ช่วยทำให้เราเห็นว่าแคมเปญไหนทำผลงาน หรือประสิทธิภาพได้ดีกว่ากัน และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสูญเสียงบประมาณไปกับแคมเปญที่ไม่ได้ผล
ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้
การติดตามพฤติกรรมผู้ใช้ ถือเป็นอีกประโยชน์สำคัญของ UTM เพราะช่วยให้เราวิเคราะห์เส้นทางการเข้าถึงเว็บไซต์ของผู้ใช้ได้ ทั้งยังทำให้เข้าใจ customer journey ได้ดีขึ้น รู้ว่าผู้ใช้มาจากช่องทางไหน สนใจเนื้อหาแบบใด และมีพฤติกรรมการใช้งานอย่างไรบนเว็บไซต์
ปรับปรุงการทำการตลาดโดยรวม
ข้อดีสุดท้ายของ UTM ช่วยให้เราปรับปรุงการตลาดโดยรวมได้ เพราะทำให้เรารู้ว่าควรเพิ่มการลงทุนในช่องทางไหน และลดการใช้งบประมาณในช่องทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การทำการตลาดมีความคุ้มค่า และตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ขั้นตอนการสร้าง UTM ง่าย ๆ ด้วยตนเอง

การสร้าง UTM นั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด มาเรียนรู้วิธีสร้าง UTM แบบง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้ มาดูขั้นตอนการสร้าง UTM เลย
เตรียมข้อมูลให้พร้อม
- กำหนดชื่อแคมเปญที่จะใช้ : ควรตั้งชื่อที่สื่อความหมายชัดเจน เข้าใจง่าย และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแคมเปญ เช่น “summer_sale_2024” หรือ “new_product_launch_q1”
- ระบุช่องทางการโฆษณา : ระบุแพลตฟอร์มที่จะใช้โฆษณาให้ชัดเจน เช่น Facebook, Instagram, Line หรือ Google Ads เพื่อให้การติดตามผลแม่นยำ
- เตรียม URL ปลายทาง : ตรวจสอบให้แน่ใจว่า URL ที่จะใช้ถูกต้องและนำไปสู่หน้าเว็บที่ต้องการ
เลือกใช้เครื่องมือสร้าง UTM
- Google Campaign URL Builder : เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น มีฟอร์มให้กรอกข้อมูลครบถ้วน
- Spreadsheet template : เหมาะสำหรับการสร้าง UTM จำนวนมาก สามารถจัดการ และแชร์กับทีมได้สะดวก
- UTM generator tools : เครื่องมือจากผู้ให้บริการอื่น ๆ ที่อาจมีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การจัดการแคมเปญ การติดตามผล
กรอกข้อมูลตามพารามิเตอร์
- ใส่ URL เว็บไซต์ : ต้องเป็น URL เต็มรูปแบบรวมถึง http:// หรือ https://
- กรอกค่า UTM parameters : ใส่ข้อมูลให้ครบทั้ง 5 พารามิเตอร์ โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่จำเป็น (source, medium, campaign)
- ตรวจสอบความถูกต้อง : เช็คการสะกดคำ การใช้เครื่องหมาย และรูปแบบการเขียนให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด
ทดสอบ URL ที่สร้าง
- คลิกลิงก์เพื่อตรวจสอบ : ทดสอบว่า URL ที่สร้างสามารถเข้าถึงหน้าเว็บที่ต้องการได้ถูกต้อง
- เช็คการแสดงผลใน Analytics : ตรวจสอบว่าข้อมูล UTM ถูกส่งไปยัง Analytics อย่างถูกต้อง และแสดงผลในรายงานตามที่ต้องการ
เครื่องมือที่ใช้ในการติดตามผลการทำ UTM

เมื่อสร้าง UTM แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการติดตามผลก็เป็นสิ่งที่ควรทำในขั้นตอนต่อไป คราวนี้เราต้องรู้จักเครื่องมือที่ใช้ในการติดตามผล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์
Google Analytics
- ดูรายงาน Acquisition : เป็นส่วนที่แสดงข้อมูลแหล่งที่มาของ traffic ทั้งหมด สามารถดูได้ว่าผู้เข้าชมมาจากช่องทางไหน แคมเปญอะไร และมีพฤติกรรมอย่างไรบนเว็บไซต์
- วิเคราะห์ traffic จากแต่ละแหล่งที่มา : ดูรายละเอียดเชิงลึกของแต่ละช่องทาง เช่น อัตราการตกหล่น (Bounce Rate) เวลาเฉลี่ยในการเยี่ยมชม และจำนวนหน้าที่เข้าชม
- ติดตาม conversion rate : วัดผลว่าแต่ละแคมเปญสามารถนำไปสู่การ convert ได้มากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การลงทะเบียน หรือการดาวน์โหลด
Looker Studio
- สร้าง dashboard แสดงผล : ออกแบบหน้ารายงานที่แสดงข้อมูลสำคัญทั้งหมดในที่เดียว ทำให้ดูข้อมูลได้ง่าย และเข้าใจได้รวดเร็ว
- วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก : สร้างรายงานที่แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างช่องทางการตลาดกับยอดขาย
- แชร์รายงานกับทีม : สามารถแชร์ dashboard ให้ทีมงานเข้าถึงข้อมูลได้ทันที ช่วยให้ทุกคนเห็นภาพรวม และทิศทางเดียวกัน
Custom Analytics Tools
- เครื่องมือวิเคราะห์เฉพาะทาง : ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะด้าน เช่น พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ การทำ A/B Testing
- ระบบ CRM ที่รองรับการติดตาม UTM : เชื่อมโยงข้อมูล UTM เข้ากับระบบ CRM เพื่อติดตามว่าลูกค้าแต่ละรายมาจากช่องทางไหน
- แพลตฟอร์มวิเคราะห์ social media : วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญบน social media โดยเฉพาะ
Spreadsheet Tracking
- บันทึกและจัดการ UTM ทั้งหมด : สร้างระบบจัดเก็บ UTM อย่างเป็นระเบียบ ทำให้ค้นหา และอ้างอิงได้ง่าย
- ติดตามผลลัพธ์แต่ละแคมเปญ : บันทึกผลการดำเนินงานของแต่ละแคมเปญ เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์
- เปรียบเทียบประสิทธิภาพ : สร้างกราฟ หรือตารางเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างแคมเปญต่าง ๆ
สรุป
UTM เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการติดตาม และวัดผลการทำการตลาดดิจิทัล การเข้าใจและใช้งาน UTM อย่างถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถ:
- วิเคราะห์ผลการทำการตลาดได้แม่นยำ ถือเป็นประโยชน์หลักของ UTM เพราะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของทุกแคมเปญ ทราบว่าแต่ละช่องทางสร้างผลลัพธ์อย่างไร และสามารถระบุได้ว่าการลงทุนในแต่ละช่องทางคุ้มค่าหรือไม่
- การปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลพลอยได้ที่สำคัญ เพราะเมื่อเรามีข้อมูลที่แม่นยำ เราสามารถตัดสินใจได้ว่าควรเพิ่มหรือลดการลงทุนในช่องทางใด ควรปรับเปลี่ยนเนื้อหาหรือวิธีการนำเสนออย่างไร
- การใช้งบประมาณการตลาดอย่างคุ้มค่าเป็นผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดจากการใช้ UTM เพราะเราสามารถระบุได้ว่าช่องทางไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด ควรเพิ่มงบประมาณในส่วนใด และควรลดหรือยกเลิกการลงทุนในช่องทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- การเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานได้ดีขึ้นเป็นประโยชน์ระยะยาวที่สำคัญ เพราะ UTM ไม่เพียงแต่บอกว่าผู้ใช้มาจากไหน แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์อย่างไร ชอบเนื้อหาแบบไหน และมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้มีค่ามากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น
การเริ่มต้นใช้งาน UTM อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อเข้าใจหลักการ และฝึกฝนการใช้งาน จะพบว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและให้ประโยชน์มหาศาล สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน แนะนำให้เริ่มจากการสร้าง UTM แบบง่าย ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความซับซ้อนตามความต้องการ และความเชี่ยวชาญที่มากขึ้น
การทำการตลาดดิจิทัลในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลในการตัดสินใจ UTM จึงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับนักการตลาดยุคใหม่ที่ต้องการความแม่นยำในการวัดผล และพัฒนาแคมเปญการตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด