การวัดประสิทธิภาพของโฆษณาเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดคือ Click Through Rate หรือ CTR ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถประเมินว่าโฆษณาของพวกเขาสามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้มากน้อยเพียงใด
ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับ CTR อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ ไปจนถึงเทคนิคการเพิ่ม CTR ให้กับโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นนักการตลาดมือใหม่ หรือมืออาชีพ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Click Through Rate หรือ CTR คืออะไร
ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปถึงเทคนิคการเพิ่ม CTR เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า CTR คืออะไรกันแน่
Click Through Rate หรือ CTR เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPI) ที่สำคัญในการทำการตลาดดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำโฆษณาออนไลน์ CTR คือ อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับ เทียบกับจำนวนครั้งที่โฆษณานั้นถูกแสดง (Impressions)
สูตรการคำนวณ CTR คือ : CTR = (จำนวนคลิก / จำนวนการแสดงผล) x 100
ตัวอย่างเช่น หากโฆษณาของคุณถูกแสดง 1,000 ครั้ง และมีคนคลิก 50 ครั้ง CTR ของโฆษณานี้จะเท่ากับ (50 / 1,000) x 100 = 5%
CTR เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ เพราะมันบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของโฆษณาในการดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ยิ่ง CTR สูง ก็หมายความว่าโฆษณาของคุณสามารถดึงดูดให้ผู้ชมคลิกได้มากขึ้น
ความสำคัญของ Click Through Rate
เมื่อเราเข้าใจความหมายของ CTR แล้ว มาดูกันว่าทำไม CTR จึงมีความสำคัญในการทำการตลาดดิจิทัล
CTR เป็นมากกว่าแค่ตัวเลข แต่เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของโฆษณา และกลยุทธ์การตลาด ต่อไปนี้คือเหตุผลที่ CTR มีความสำคัญ
- บ่งชี้ความเกี่ยวข้องของโฆษณา : CTR ที่สูงแสดงให้เห็นว่าโฆษณาของคุณมีความเกี่ยวข้อง และน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย
- ประหยัดงบประมาณ : ในการโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) CTR ที่สูงหมายถึงคุณกำลังใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคุณจ่ายเงินเฉพาะเมื่อมีคนคลิกโฆษณาของคุณ
- ปรับปรุงคุณภาพโฆษณา : Google AdWords ใช้ CTR เป็นหนึ่งในปัจจัยในการกำหนดคะแนนคุณภาพ (Quality Score) ซึ่งส่งผลต่อตำแหน่งการแสดงผล และราคาของโฆษณา
- เพิ่มโอกาสในการแปลงเป็นลูกค้า : CTR ที่สูงหมายถึงมีคนเข้ามายังเว็บไซต์ หรือหน้าเป้าหมายของคุณมากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนคนเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้า
- ให้ข้อมูลเชิงลึก : CTR สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรม และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ช่วยในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด
ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อค่าเฉลี่ย CTR

CTR ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นผลรวมของหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อกันและกัน การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุง CTR ของโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณภาพของโฆษณา
เนื้อหา รูปภาพ และการออกแบบที่น่าสนใจจะดึงดูดให้ผู้ชมคลิกมากขึ้น
ความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาที่ตรงกับความสนใจ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายจะมี CTR ที่สูงกว่า
ตำแหน่งการแสดงผล
โฆษณาที่แสดงในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนมักจะมี CTR สูงกว่า
วัน และเวลาที่แสดงโฆษณา
การแสดงโฆษณาในช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายออนไลน์มากที่สุดจะช่วยเพิ่ม CTR ได้เป็นอย่างดี
อุปกรณ์ที่ใช้
CTR อาจแตกต่างกันระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์
ประเภทของแพลตฟอร์ม
CTR บน Search Ads อาจแตกต่างจาก Display Ads หรือ Social Media Ads
การแข่งขัน
ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง อาจทำให้ CTR ลดลงเนื่องจากมีตัวเลือกมากขึ้น
คำโฆษณาและ Call-to-Action (CTA)
การใช้คำที่โดนใจ และ Call To Action (CTA) ที่ชัดเจนจะช่วยเพิ่ม CTR
ความน่าเชื่อถือของแบรนด์
แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก และไว้วางใจมักจะมี CTR ที่สูงกว่า
จากปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อค่าเฉลี่ย CTR จะเห็นได้ว่า CTR ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมของหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้อย่างลึกซึ้งจะช่วยให้นักการตลาดสามารถออกแบบ และปรับแต่งโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกอย่างการแข่งขันในตลาดก็มีผลต่อ CTR เช่นกัน ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การสร้างโฆษณาที่โดดเด่นและแตกต่างจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สุดท้าย การใช้คำโฆษณาที่โดนใจและ Call-to-Action ที่ชัดเจน รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่ม CTR ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเข้าใจและนำปัจจัยเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้นักการตลาดสามารถพัฒนากลยุทธ์การโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเพิ่ม CTR และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้นในที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องมีการทดสอบ และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ของคุณยังคงมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
Click Through Rate vs Conversion Rate ต่างกันอย่างไร
เรามักจะได้ยินคำว่า CTR และ Conversion Rate อยู่บ่อย ๆ แม้ว่าทั้งสองคำนี้จะเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของโฆษณา แต่ก็มีความหมาย และวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง CTR และ Conversion Rate กัน
CTR (Click Through Rate) : วัดอัตราการคลิกโฆษณาเทียบกับจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง
เน้นที่การดึงดูดความสนใจ และการนำผู้ชมเข้าสู่เว็บไซต์หรือหน้าเป้าหมาย
คำนวณจาก : (จำนวนคลิก / จำนวนการแสดงผล) x 100
Conversion Rate : วัดอัตราการแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้าหรือทำการกระทำที่ต้องการ (เช่น ซื้อสินค้า, ลงทะเบียน, ดาวน์โหลด) เน้นที่ประสิทธิภาพของหน้าเว็บไซต์หรือหน้าเป้าหมายในการโน้มน้าวให้ผู้เข้าชมทำการกระทำที่ต้องการ
คำนวณจาก : (จำนวนการแปลง / จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด) x 100
ความแตกต่างที่สำคัญ
- จุดเน้น : CTR เน้นที่ประสิทธิภาพของโฆษณาในการดึงดูดคลิก ในขณะที่ Conversion Rate เน้นที่ประสิทธิภาพของหน้าเว็บ หรือหน้าเป้าหมายในการโน้มน้าวให้เกิดการกระทำ
- ขั้นตอนในกระบวนการ : CTR เป็นขั้นตอนแรกในการนำผู้ชมเข้าสู่เว็บไซต์ ส่วน Conversion Rate เป็นขั้นตอนถัดไปหลังจากผู้ชมเข้าสู่เว็บไซต์แล้ว
- การวัดความสำเร็จ : CTR สูงไม่ได้หมายความว่า Conversion Rate จะสูงตามไปด้วย อาจมีกรณีที่ CTR สูงแต่ Conversion Rate ต่ำ หรือในทางกลับกัน
- การนำไปใช้ : CTR มักใช้ในการปรับปรุงโฆษณา ในขณะที่ Conversion Rate ใช้ในการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์หรือหน้าเป้าหมาย
- ความสัมพันธ์ : CTR ที่สูงอาจนำไปสู่โอกาสในการเพิ่ม Conversion Rate เพราะมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น แต่ไม่ได้รับประกันว่าจะเกิดการแปลงเป็นลูกค้าเสมอไป
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง CTR และ Conversion Rate จะช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการให้ความสำคัญทั้งการดึงดูดผู้ชมเข้าสู่เว็บไซต์ (CTR) และการโน้มน้าวให้พวกเขาทำการกระทำที่ต้องการ (Conversion Rate)
10 เทคนิคเพิ่ม Click Through Rate ให้กับโฆษณา

การเพิ่ม CTR เป็นเป้าหมายสำคัญของนักการตลาดดิจิทัลทุกคน เพราะ CTR ที่สูงขึ้นหมายถึงโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มากขึ้น รวมถึงบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการจากโฆษณานั้นได้ด้วย โดยมีเทคนิคเพิ่ม CTR ให้กับโฆษณาได้ ดังนี้
ใช้หัวข้อที่น่าสนใจและตรงประเด็น
- สร้างหัวข้อที่ดึงดูดความสนใจและบอกประโยชน์ที่ผู้ชมจะได้รับอย่างชัดเจน
- ใช้คำถามหรือตัวเลขเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
เนื่องจากหัวข้อเป็นสิ่งแรกที่คนเห็นก่อน ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ และดึงดูดความสนใจ เช่น “ลดราคา 50% เฉพาะวันนี้!” หรือ “5 เคล็ดลับการลดน้ำหนักที่คุณต้องรู้” การใช้ตัวเลขหรือคำถามสามารถเพิ่มความน่าสนใจได้ เช่น “คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมคุณนอนไม่หลับ ?”
ออกแบบ Call-to-Action (CTA) ที่โดนใจ
- ใช้คำที่กระตุ้นให้เกิดการกระทำ เช่น “ซื้อเลย” “ลงทะเบียนวันนี้” “ดาวน์โหลดฟรี”
- ทำให้ CTA โดดเด่นและง่ายต่อการคลิก
CTA ควรชัดเจน และกระตุ้นให้เกิดการกระทำ ใช้คำที่สื่อถึงความเร่งด่วนหรือประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น “รับส่วนลดทันที” “เริ่มต้นฟรีวันนี้” หรือ “จองตอนนี้รับดีลพิเศษ” ตำแหน่งของ CTA ก็สำคัญ ควรวางในจุดที่เห็นได้ชัดและคลิกได้ง่าย
ใช้ภาพที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง
- เลือกภาพที่สื่อถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างชัดเจน
- ใช้ภาพที่มีคุณภาพสูง และดึงดูดสายตา
ภาพควรมีความละเอียดสูง สีสันสดใส และสื่อถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณได้อย่างชัดเจน หลีกเลี่ยงการใช้ภาพสต็อกที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าเป็นไปได้ ควรใช้ภาพจริงของผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ หรือภาพที่แสดงถึงผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ
ทำการทดสอบ A/B
- ทดลองใช้หัวข้อ, ภาพ, และ CTA ที่แตกต่างกันเพื่อดูว่าอะไรที่ได้ผลดีที่สุด
- ปรับปรุงโฆษณาอย่างต่อเนื่องตามผลการทดสอบ
การทดสอบ A/B คือการสร้างโฆษณาสองเวอร์ชันที่แตกต่างกันเล็กน้อย แล้วเปรียบเทียบว่าเวอร์ชันไหนได้ผลดีกว่า เช่น ทดลองใช้หัวข้อต่างกัน หรือ CTA ต่างกัน แล้วดูว่าแบบไหนได้ CTR สูงกว่า การทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณปรับปรุงโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ
ใช้ประโยชน์จากการกำหนดเป้าหมาย (Targeting)
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำเพื่อให้โฆษณาแสดงต่อคนที่มีแนวโน้มจะสนใจมากที่สุด
- ใช้ความสนใจ, พฤติกรรม, และข้อมูลประชากรในการกำหนดเป้าหมาย
การกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงต่อคนที่มีแนวโน้มจะสนใจมากที่สุด ใช้ข้อมูลประชากรศาสตร์ (เช่น อายุ เพศ ที่อยู่), ความสนใจ, และพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้การกำหนดเป้าหมายตาม Lookalike Audience หรือกลุ่มคนที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าปัจจุบันของคุณ
ปรับปรุงคุณภาพของหน้าเป้าหมาย (Landing Page)
- สร้างหน้าเป้าหมายที่สอดคล้องกับโฆษณา และให้ข้อมูลที่ผู้ชมต้องการ
- ทำให้หน้าเว็บโหลดเร็วและใช้งานง่ายบนทุกอุปกรณ์
หน้าเป้าหมายควรสอดคล้องกับโฆษณาทั้งในแง่ของเนื้อหา และการออกแบบ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่าพวกเขามาถูกที่ หน้าเว็บควรโหลดเร็ว (ไม่เกิน 3 วินาที) และใช้งานง่ายบนทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะมือถือ ข้อมูลสำคัญและ CTA ควรอยู่ในส่วนบนของหน้าเว็บที่เห็นได้ทันทีโดยไม่ต้องเลื่อนลง
ใช้ข้อความที่สร้างความเร่งด่วน
- ใช้คำที่กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจเร็ว เช่น “มีจำกัด” “เฉพาะวันนี้เท่านั้น”
- สร้างความรู้สึกว่าถ้าไม่รีบคลิกอาจจะพลาดโอกาสดี ๆ
การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมตัดสินใจเร็วขึ้น ใช้คำหรือวลีที่บ่งบอกถึงเวลาจำกัด เช่น “เฉพาะ 24 ชั่วโมงเท่านั้น” “สินค้ามีจำนวนจำกัด” หรือ “โปรโมชันวันนี้วันสุดท้าย” อย่างไรก็ตาม ต้องระวังไม่ให้ดูเกินจริงหรือหลอกลวง เพราะอาจทำให้เสียความน่าเชื่อถือได้
ปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม
- ออกแบบโฆษณาให้เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Google, Instagram
- ใช้รูปแบบโฆษณาที่เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น วิดีโอสั้นสำหรับ TikTok
แต่ละแพลตฟอร์มมีลักษณะเฉพาะและกลุ่มผู้ใช้ที่แตกต่างกัน เช่น โฆษณาบน Facebook ควรมีภาพที่ดึงดูดความสนใจและข้อความสั้น ๆ ในขณะที่โฆษณาบน LinkedIn อาจเน้นเนื้อหาที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น สำหรับ TikTok หรือ Instagram Reels ควรใช้วิดีโอสั้นที่สนุกและน่าสนใจ การปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์มจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา
ใช้ประโยชน์จากการรีมาร์เก็ตติ้ง (Remarketing)
- แสดงโฆษณาซ้ำกับผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อ
- ปรับแต่งข้อความโฆษณาให้เฉพาะเจาะจงกับผู้ชมที่คุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณแล้ว
การรีมาร์เก็ตติ้งคือการแสดงโฆษณาซ้ำกับผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณแล้ว เช่น เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือดูสินค้าในร้านค้าออนไลน์ คนกลุ่มนี้มีโอกาสคลิกโฆษณาสูงกว่าเพราะพวกเขารู้จักแบรนด์ของคุณแล้ว คุณสามารถปรับแต่งข้อความโฆษณาให้เฉพาะเจาะจงกับพฤติกรรมก่อนหน้าของพวกเขา เช่น “กลับมาซื้อสินค้าที่คุณชอบได้แล้ววันนี้”
ติดตามและวิเคราะห์ผลอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อติดตาม CTR และตัวชี้วัดอื่น ๆ
- ปรับปรุงกลยุทธ์โฆษณาของคุณตามข้อมูลที่ได้
การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณเห็นว่าอะไรได้ผล และอะไรไม่ได้ผล ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อติดตาม CTR, อัตราการแปลง, รวมถึงตัวชี้วัดอื่น ๆ วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อหาแนวโน้ม และโอกาสในการปรับปรุง เช่น หากพบว่าโฆษณาบางชิ้นมี CTR สูงกว่าปกติ ให้วิเคราะห์ว่าอะไรทำให้มันประสบความสำเร็จ และนำไปประยุกต์ใช้กับโฆษณาอื่น ๆ
การเพิ่ม CTR เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง อาศัยการทดลอง พร้อมทั้งปรับปรุงอยู่เสมอ โดยการใช้เทคนิคเหล่านี้ร่วมกัน คุณสามารถปรับปรุง CTR ของโฆษณา และเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดของคุณได้โดยเห็นผลลัพธ์หรือความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน ทำให้การลงทุนในการโฆษณานั้นคุ้มค่าที่สุด
สรุป
การเพิ่ม CTR เป็นกุญแจสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณา เพราะการที่ CTR ที่สูงไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนโฆษณา และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนจากกลุ่มเป้าหมายให้เป็นลูกค้าอีกด้วย
การใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวถึงในบทความนี้ เช่น การสร้างหัวข้อที่น่าสนใจ การใช้ CTA ที่โดนใจ การทำ A/B Testing และการปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์ม จะช่วยให้เราสามารถพัฒนา CTR ของโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการติดตามผล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคและเทรนด์ทางการตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เรารักษาประสิทธิภาพของโฆษณาและ CTR ที่ดีได้ในระยะยาว
ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับ CTR และการใช้เทคนิคที่เหมาะสม เท่านี้ก็สามารถสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน