ในการทำการตลาด สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการทุกครั้งคือการวัดผลลัพธ์ หรือที่เรียกกันว่า Conversion Rate ซึ่งในบางธุรกิจ การวัดผลจากยอด Conversion อาจสอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ แต่สำหรับบางธุรกิจ ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นไปตามคาด ทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจ หากยอด Conversion ไม่ถึงระดับที่สามารถสร้างกำไรหรือความมั่นคงให้ธุรกิจได้
การหา Conversion rate คือ สูตร Conversion rate = Conversion / Visits
และการหาจำนวนของ Conversion คือ สูตร Conversion = Visits x Conversion rate
ดังนั้น ถ้าต้องการเพิ่มจำนวนของ Conversion ให้มากขึ้น สิ่งจำเป็นที่ต้องทำหลักเลย ก็คือ
- เพิ่มจำนวนของ Visits ให้มีมากขึ้น : วิธีง่าย ๆ ที่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากว่าจำนวนของ Visits จะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อเว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักหรือผู้ใช้งานต้องการเข้ามาเว็บไซต์เท่านั้น ยอดของ Visits ถึงจะเพิ่มขึ้น ถ้าต้องการให้จำนวนของ Visits เพิ่มขึ้น สามารถทำได้โดยการยิง Ads ผ่านช่องทาง Google หรือ Facebook เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นและสนใจ และสามารถเพิ่มจำนวน Visits ที่มายังเว็บไซต์ได้
- เพิ่มอัตราส่วนของ Conversion rate ให้ดีขึ้น : การเพิ่มอัตราส่วนของ Conversion rate นี่แหละที่เรากำลังพูดถึงกัน ก็คือการทำ Conversion Rate Optimize
ดังนั้น เราจะมาพาทุกคนไปทำความรู้จัก Conversion Rate Optimization และวิธีในการที่จะเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้มากขึ้นนั่นเอง
Conversion Rate Optimization กลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มยอดขาย
Conversion Rate Optimization หรือ CRO ที่เรารู้จักกัน เป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้ยอด Conversion Rate เพิ่มขึ้นได้ ด้วยเทคนิคต่าง ๆ โดยเน้นไปที่เว็บไซต์ อาจจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เป็นไปตามการใช้งานของผู้เข้าชม และไม่จำเป็นต้องเน้นการได้ผลตอบแทนเพียงเท่านั้น แต่อาจจะตั้งเป้าหมายอื่น ๆ ได้ เช่น การเพิ่มสมาชิกบนเว็บไซต์ การติดตามรับข่าวสารบนเว็บไซต์ ซึ่งถ้ามีการทำ Conversion Rate Optimization ก็จะช่วยเพิ่มยอดต่าง ๆ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ด้วยเช่นกัน
การทำ Conversion Rate Optimization สำคัญไหม ? เชื่อว่านักการตลาดหลาย ๆ คนมองข้ามเรื่องการทำ Conversion Rate Optimization เพราะสนใจที่จะเพิ่มจำนวนของ Visits มากกว่า การทำให้ Conversion rate ให้ดีขึ้น อยากให้ลองเปลี่ยนวิธีและมาโฟกัสที่จุดนี้ เพราะการทำ Conversion Rate Optimization จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้ดี โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนการตลาด หรือปรับการทำงานใหม่นักการตลาดใหม่ทั้งหมด
Conversion Rate Optimization เหมาะกับใครบ้าง
การทำ CRO เหมาะสำหรับธุรกิจหลากหลายประเภทที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าที่สร้างรายได้ให้ธุรกิจ และนี่คือ 3 ธุรกิจที่เหมาะกับการนำ Conversion Rate Optimization ไปปรับใช้
ธุรกิจ B2B
ธุรกิจที่มีสินค้าที่ค่อนข้างราคาสูง และเป็นสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม เนื่องจากการขายสินค้าในรูปแบบของ B2B การใช้กลยุทธ์ Conversion Rate Optimization จึงเป็นกลยุทธ์ที่ดี และวิธีนี้ จะช่วยเปลี่ยนให้กลุ่มเป้าหมายที่อาจจะมีแค่เฉพาะกลุ่มนั้น กลายมาเป็นลูกค้าได้เพิ่มขึ้น นำข้อมูล Conversion ที่ได้มาปรับปรุงและวางแผนการตลาดในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากขึ้นด้วย
ธุรกิจ E-commerce
Conversion Rate Optimization เหมาะกับธุรกิจ E-commerce ในด้านของการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้น สามารถใช้งานเว็บไซต์ ซื้อของได้ง่ายกว่าการเดินไปซื้อที่หน้าร้าน ตัดสินใจซื้อได้อย่างรวดเร็วและว่องไว
ธุรกิจ Media
ธุรกิจที่เป็นประเภท Media สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ควรนำ Conversion Rate optimization มาเพื่อทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ บนเว็บไซต์ ทั้งในรูปแบบของฟอร์มในการกรอกลงทะเบียน เนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ช่วยแนะนำให้ความรู้ ปุ่ม CTA ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย
3 ข้อดีของการทำ Conversion Rate Optimization
การทำ Conversion Rate Optimization นั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ แต่ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ให้ดีขึ้น ใช้งานง่ายขึ้นอีกด้วย
สร้างผลตอบแทนให้ธุรกิจมากขึ้น
ธุรกิจมักต้องการผลกำไรและผลตอบแทนที่มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินและเติบโตได้ในอนาคต CRO ไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดต่าง ๆ ที่จำเกิดขึ้น แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผลตอบแทนของธุรกิจเพิ่มมากขึ้นด้วย
สร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน
ประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งานมีผลต่อ Conversion rate อย่างมาก ถ้าเกิดว่าหน้าเว็บไซต์ของเราดี ใช้งานง่าย มีโฆษณาที่ดึงดูดใจ ก็จะทำให้ผู้ใช้งานตัดสินใจในการซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น เผลอ ๆ อาจเปลี่ยนผู้ใช้งานทั่วไป ให้กลายมาเป็นลูกค้าประจำได้ด้วยเช่นกัน
เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ในโลกของการตลาดออนไลน์ ไม่ได้มีเพียงธุรกิจของคุณเท่านั้นที่อยู่บนนี้ แต่ยังมีคู่แข่งอีกหลายต่อหลายเจ้าที่เข้ามาทำการตลาดออนไลน์เหมือนกัน การทำ Conversion Rate Optimization จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มยอด Conversion ลด Bounce Rate ส่งผลให้คะแนนของเว็บไซต์ของคุณดีขึ้น และผู้ใช้งานสามารถหาคุณเจอได้บน Google ได้ง่ายขึ้นด้วย
วิธีปรับเว็บไซต์ให้ Conversion Rate สูงขึ้น
เว็บไซต์ที่ดี ควรเป็นเว็บไซต์ที่ Friendly ต่อผู้ใช้งาน มีโครงสร้างการใช้งานที่ง่าย ซึ่งองค์ประกอบหลัก ๆ ที่จะช่วยทำให้ Conversion Rate สูงขึ้น มีดังนี้
Ref Photo : SEMRUSH
Call to action
ปุ่ม Call to action เป็นปุ่มที่ช่วยส่งเสริมการคลิกบนเว็บไซต์ให้กับผู้ใช้งาน ดังนั้น ปุ่ม Call to Action ควรเป็นปุ่มที่เห็นได้ชัดเจน เน้นการใช้สี หรือขนาดที่พอเหมาะ และคลิกได้ง่ายไม่ซับซ้อน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้งานอยากคลิกมากขึ้น
Ref Photo : SAMSUNG
Landing Page
Landing Page เป็นหน้าแรกที่ผู้ใช้งานจะคลิกเข้ามาเจอเว็บไซต์ ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับการออกแบบ Landing Page ให้น่าสนใจและดึงดูด สร้างประสบการณ์ในการใช้งานที่ได้ได้ตั้งแต่แรกเห็น แถมยังเป็นสิ่งที่สร้าง Conversion ได้มากขึ้นด้วย
Ref Photo : Slickplan
Site Structure
ปัจจัยหลักในการออกแบบเว็บไซต์และทุกธุรกิจควรให้ความสำคัญสำหรับเว็บไซต์ ก็คือ Site Structure ควรออกแบบให้ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย เข้าถึงหน้าหรือข้อมูลที่ต้องการได้เร็วที่สุด
หากเว็บไซต์ของคุณมีโครงสร้างการใช้งานที่ยาก ซับซ้อน ก็ทำให้ผู้ใช้งานเข้าชมในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่มี Conversion ใด ๆ เกิดขึ้น เพราะรู้สึกว่าเว็บเข้าถึงยากมากเกินไป ฉะนั้นการปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยวิธีที่เรากล่าวไปเบื้องต้น จะช่วยให้ผู้ใช้งานประทับใจ และเข้าชมเว็บไซต์เรานานขึ้น ตลอดจนเกิดเป็น Conversion ในที่สุด
ตัวอย่างการเพิ่มยอดขายด้วยการทำ Conversion Rate optimization
โดยปกติแล้ว การปรับเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ จะมีขั้นตอนพื้นฐาน อยู่ด้วยกัน 4 ขั้นตอน คือ
Research – หาสาเหตุของปัญหา
Hypothesis – ตั้งสมมติฐาน เพื่อทดสอบผลลัพธ์
A/B Testing – ทดลอง เพื่อฟาผลลัพธ์ที่ต้องการ
Analyze – วิเคราะห์ประสิทธิภาพในการทดลอง
จะยกตัวอย่างในการเพิ่มยอดขายด้วยการทำ Conversion Rate Optimize เป็นเว็บไซต์ E-commerce ที่ต้องการเพิ่มจำนวนการซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ให้มากขึ้น และทำการโปรโมทสินค้าด้วยการใช้ Landing Page
Reseach
เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักเลือกที่จะแสดงข้อมูลของสินค้าทั้งหมด รูปภาพ การใช้งาน ข้อดี และรีวิวจากลูกค้าไว้ด้านบน และเลือกที่ใส่ปุ่ม Call to Action ไว้ท้ายที่สุด ซึ่งอาจทำให้ลูกค้า หลายคนไม่สามารถ scroll ไปจนถึงสุดท้าย เพื่อกดซื้อหรือกดไปยังหน้าสินค้าได้
Hypothesis
ลองตั้งวิธีแก้ไขง่ายๆ เช่น อาจจะเพิ่มปุ่ม Call to Action ที่จะเข้าไปยังหน้าสินค้า ไว้บนแบนเนอร์ของหน้า หรือไว้สัก 2-3 section แรกสัก 1 ปุ่ม และก็ใส่ไว้ที่เดิมด้วยอีกหนึ่งปุ่ม จะดีกว่า และทำให้ผู้ใช้งานกดเข้าไปยังหน้าสินค้าได้ง่ายกว่า
A/B Testing
ลองทำ A/B Testing โดยการนำ 2 Landing Page ที่เราทำไว้มาทดสอบก็คือ
- Landing Page แบบเดิมที่ไม่ได้แก้ไข
- Landing Page แบบใหม่ที่ทำการเพิ่มปุ่มไปแล้ว
จากนั้น ให้ลองปล่อยหน้า Landing Page ทั้ง 2 แบบไปดู อาจจะแบ่งเป็นอย่างละครึ่งเพื่อดูผลลัพธ์จากผู้ใช้งานที่เข้ามาถึงหน้า Landing Page และทำการทดลองไปตลอดแคมเปญ
Analyst
วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ A/B Testing ในแบบ ที่ 1 จะได้ผลลัพธ์ที่น้อยกว่าแบบที่ 2 เนื่องจากว่า ผู้ใช้งานเข้ามาถึงหน้า Landing Page แต่กว่าจะเลื่อนไปถึงสุดหน้าบางทีลูกค้าก็กดปิดหน้า Landing Page ไปแล้ว แต่ถ้าเราเพิ่มปุ่ม Call to Action ที่คลิกไปหน้าสินค้า ในจุดที่สะดุดตา และเป็นจุดที่ลูกค้าเลื่อนมาเจอแน่นอน ก็จะมีผู้ใช้งานคลิกไปยังหน้าสินค้าได้มากกว่านั่นเอง
สรุป
การทำ Conversion Rate Optimization ไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องใหม่เกินไปสำหรับนักการตลาดที่ต้องการเพิ่ม Converion Rate ให้ดียิ่งขึ้น ถ้าเกิดรู้และเข้าใจในการทำงานแล้ว ก็จะสามารถนำกลยุทธ์ Conversion Rate Optimization ไปปรับใช้กับการวิเคราะห์การตลาดให้ได้ดีขึ้นได้ ลองไปปรับใช้กันดูนะ